เว็บไซต์คุณครูบ้านนา

เว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นสื่อในการศึกษา
คลังความรู้สำหรับผู้ที่สนใจ ^^

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559

8 ผลไม้ลดความอ้วน ที่สาว ๆ ต้องลิ้มลอง

8 ผลไม้ลดความอ้วน ที่สาว ๆ ต้องลิ้มลอง



แอปเปิล

          ผลไม้สีแดง ๆ เขียว ๆ นี้ สามารถช่วยคุณสาว ๆ ลดความอ้วนได้อย่างสบาย ๆ เลยล่ะ เพราะแอปเปิลได้ชื่อว่าเป็นราชาของผลไม้ลดน้ำหนัก เนื่องจากแอปเปิลมีเส้นใยอาหาร หรือไฟเบอร์มากมาย เมื่อทานเข้าไปแล้ว จะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มท้องนาน เพราะน้ำตาลฟรักโทสในแอปเปิ้ลจะเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ช่วยให้ร่างกายไม่รู้สึกหิว

          นอกจากนั้นแล้ว แอปเปิลยังให้พลังงานเพียงแค่ 59 แคลอรี จึงไม่ทำให้อ้วน แถมยังมีวิตามิน แร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย โดยเฉพาะ "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก มันจึงไปเพิ่มกากใยในอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นไปอย่างปกติ จึงช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยจับคอเลสตอรอล และช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายได้ด้วย


ฝรั่ง

          สุดยอดผลไม้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินซีชนิดนี้ ช่วยให้คุณลดความอ้วนได้ไม่ยาก เพราะฝรั่งเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ แถมยังเคี้ยวเพลินอีกต่างหาก จึงเหมาะกับสาว ๆ ที่อยากกินจุบกินจิบเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความอ้วนได้แล้ว วิตามินซีในฝรั่งยังช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ไร้ริ้วรอยอีกด้วย

          เพราะฉะนั้น หิวครั้งหน้า ก็อย่าลืมคว้าฝรั่งมาทานแทนขนมกรุบกรอบนะคะ อ๊ะ...คำเตือนก็คือ ทานแต่ฝรั่งเปล่า ๆ เท่านั้นนะ อย่าเผลอจิ้มพริกเกลือ พริกน้ำตาล เด็ดขาด เพราะจะทำให้อ้วนได้นะเออ

แตงโม

          แตงโมลูกโต ๆ รสหวาน ๆ ไม่ได้ทำให้คุณอ้วนแต่ประการใด เพราะแตงโม 1 ถ้วย ให้พลังงานเพียง 50 แคลอรีเท่านั้น แถมยังให้ไขมันน้อยนิด และยังชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำถึง 93% ของส่วนประกอบทั้งหมด ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวเลยว่า แตงโม จะทำให้คุณสาว ๆ อ้วนได้ ตรงกันข้าม หากรับประทานแตงโมแทนอาหารมื้อเย็นหนัก ๆ ก็ช่วยลดความอ้วนได้ด้วย แต่ควรทานอย่างพอดี ไม่มากไปนะจ๊ะ ไม่เช่นนั้นท้องไส้จะปั่นป่วนเอาได้ แถมยังต้องเข้าห้องน้ำปัสสาวะบ่อย ๆ ด้วย


ส้ม

          สาว ๆ หลายคนมักแกะกากส้มออกจนหมด เพื่อให้ทานได้ง่าย ๆ แต่รู้ไหมว่า คุณกำลังทิ้งของดีไปเสียแล้ว เพราะกากใยของส้มนั่นแหละคือสิ่งที่จะช่วยควบคุมน้ำหนักตัวให้สาว ๆ ได้ โดยกากใยจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว และช่วยทำให้ระบายท้องได้ดี อย่างไรก็ตาม ส้ม เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับผลไม้ลดความอ้วนชนิดอื่น ๆ ดังนั้น ควรรับประทานแต่พอดีแล้วกันนะ


 มะละกอ

          มะละกอ เป็นผลไม้ที่ช่วยขับสารพิษของเสียออกจากร่างกาย แถมยังช่วยกำจัดไขมันต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ด้วย โดยมะละกอมีเอนไซน์ปาเปน ที่จะช่วยย่อยโปรตีน และย่อยอาหาร จึงช่วยลดน้ำหนักได้อีกทางด้วย ส่วนใครที่อยากมีผิวพรรณสวย มะละกอ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสน เพราะมะละกอมีวิตามินซี และเบตาแคโรทีนสูง จึงช่วยบำรุงผิวพรรณได้


แก้วมังกร

          แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่ช่วยให้คุณอิ่มท้องได้ง่าย ๆ ไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่น เพราะแก้วมังกรมีกากใยสูงและแคลอรีต่ำ แถมยังมีรสหวานอร่อย หลาย ๆ คน จึงเลือกรับประทานแก้วมังกรเป็นอาหารเย็น หรือทานรวมกับผักสลัดอื่น ๆ เพื่อช่วยลดน้ำหนัก โดยไม่ต้องห่วงว่าจะความหวานจะไปเป็นไขมันสะสมในภายหลัง 

          และนอกจากลดน้ำหนักแล้ว ผลพลอยได้จากแก้วมังกรที่คุณสาว ๆ ไม่ควรพลาดอีกเช่นกันก็คือ แก้วมังกรเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีวิตามินซีสูงมาก ดังนั้น จึงช่วยบำรุงผิวพรรณไปในตัว แถมยังช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนมดีต่อคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรด้วย


กีวี

          อีกหนึ่งผลไม้ยอดนิยมของสาว ๆ ที่ปรารถนาจะลดน้ำหนักเลยล่ะ เพราะกีวีเป็นผลไม้ที่มีกากใยมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25% ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและนาน แถมยังมีวิตามินซี และวิตามินอีสูง ซึ่งจะช่วยให้ผิวพรรณสดใส ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด บำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง และช่วยสลายไขมันในเลือดด้วย ใครที่ชอบทานกีวีจึงได้ประโยชน์จากกีวีแบบหลายเด้งเลย

เกรปฟรุต 

          สุดยอดผลไม้ไดเอตที่กำลังเป็นที่นิยม เพราะเมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า การกิน "เกรปฟรุต" ครึ่งลูกก่อนมื้ออาหารจะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้อย่างเหลือเชื่อ โดยสามารถลดปริมาณแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรีต่อวันเชียวนะ แถมเกรปฟรุตครึ่งลูกก็มีแคลอรีเพียงแค่ 39 แคลอรีเท่านั้นเอง


ที่มา:http://health.kapook.com/view38726.html

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรื่องราวที่น่าประทับใจ

เรื่องราวมากมายที่เราได้เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งถือเป็นความทรงจำที่ดีของชีวิต

ขอให้ภาพอธิบายเรื่องราว

ดูงานที่จ.กาฬสินธ์ ที่ โรงเรียนปัญญานุกูล และ โรงเรียนสหัสขันธ์ศึกษา







รับประกาศนียบัตร จบการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 3





โอลิมปิกวิชาการ วิชาฟิสิกส์ ศูนย์ขยายผลมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน



ทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ ที่จังหวัดระยอง



ร่วมอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น เซิ้งบั้งไฟ 




กิจกรรมค่ายเคมี ครั้งที่ 17 จัดโดยคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยขอนแก่น






12 พฤติกรรมทำง่าย ๆ แต่ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ !

12 พฤติกรรมทำง่าย ๆ แต่ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ !



1. หัวเราะคิกคัก ช่วยเลือดไหลเวียน


          หัวเราะวันละนิดจิตแจ่มใส คำกล่าวนี้ได้รับการยืนยันจากผลการวิจัยของ  The University of Texas at Austin  แล้วว่าเป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยเขาได้ทำการทดลองให้กลุ่มอาสาสมัครกลุ่มหนึ่งดูหนังตลกและพบว่า กลุ่มคนเหล่านี้ จะมีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นเล็กน้อย ทำให้หลอดเลือดหัวใจขยายมากกว่าปกติ และช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นถึง 24% 



          แต่เมื่อกลุ่มอาสมัครเหล่านี้ดูหนังเศร้า และสารคดี จะมีภาวะเส้นเลือดตีบตันเพิ่มขึ้น 18% เป็นผลให้เลือดสูบฉีดได้ไม่สะดวก โดยแพทย์เฉพาะทางได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อเรามีความสุข ร่างกายจะหลั่งสารนิวโรเคมี (neurochemical) ซึ่งเป็นสารเคมีแห่งความสุขออกมา ทำให้ร่างกายเรารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นนั่นเอง รู้อย่างนี้ก็หัวเราะบ่อย ๆ นะร่างกายจะได้สดชื่น



2. แปรงและขัดฟันไล่มะเร็ง

          รู้ไหมว่าการสะสมของคราบแบคทีเรียและคราบพลัคภายในช่องปากของเรา สามารถกลายร่างเป็นมะเร็งสมองและมะเร็งลำคอได้ด้วย โดยการศึกษาของสถาบันวิจัยโรคมะเร็ง Roswell Park รัฐนิวยอร์ก พบว่า คนที่เป็นโรคปริทันต์อักเสบเรื้อรังมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งสมอง และมะเร็งลำคอเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า โดยไม่จำเป็นว่าผู้ป่วยจะมีประวัติสูบบุหรี่มาก่อนหรือไม่ 

          ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งสมองและลำคอ ก็ควรต้องหมั่นดูและรักษาความสะอาดของช่องปากให้ดี ด้วยการแปรงฟันเป็นประจำ และใช้ไหมขัดฟันช่วยขจัดคราบจุลินทรีย์และคราบพลัคด้วยก็จะดีมากค่ะ

3. จิบชาสลายเส้นเลือดสมองอุดตัน

          ผลการวิจัยของ UCLA School of Medicine พบว่า ผู้ที่นิยมจิบชาเป็นประจำอย่างต่ำ 3 แก้วต่อวัน จะมีอัตราเสี่ยงเป็นโรคเส้นเลือดสมองอุดตันเพียงแค่ 1 ใน 5 ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้ที่จิบชาน้อยกว่า 1 แก้วต่อวัน เพราะในน้ำชามีสาร EGCG ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง และกรดอะมิโนธีอะนีน ซึ่งจะช่วยขยายหลอดเลือดสมอง และหลอดเลือดแดงให้สูบฉีดเลือดได้อย่างสะดวก จึงไม่มีความเสี่ยงเป็นเส้นเลือดอุดตัน ห่างไกลจากโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตแบบไร้กังวลกันไปเลย

4. เขียนระบายความในใจ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

          อาจจะดูเป็นวิธีการระบายความในใจที่ล้าสมัย แต่เชื่อไหมว่าการนั่งเพ้อเขียนโน้ตถึงความรู้สึกดี ๆ ที่มีในแต่ละวัน จะสามารถทำให้เรามีความสุขขึ้นได้ง่าย ๆ ยืนยันด้วยผลการศึกษาของ Kent State University ที่พบว่า คนที่เขียนโน้ตหรือไดอารีถึงความรู้สึกดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน จะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การทำงานของปอด และตับให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติดี 

          นอกจากนี้ ยังช่วยลดระดับความดันเลือดในเป็นปกติอีกด้วย เพราะการเขียนหนังสือระบายความในใจ จะช่วยให้สมองได้รำลึกถึงช่วงเวลาของความสุข จึงทำให้ร่างกายมีความสุขไปด้วยนั่นเอง แต่สงวนสิทธิ์เฉพาะการจับปากกาเขียนลงบนกระดาษเท่านั้นนะคะ การระบายความสุขด้วยการแชท หรือโพสต์ข้อความทางโซเซียลเน็ตเวิร์กไม่นับ เพราะวิธีเหล่านี้ใช้เวลานิดเดียว ไม่พอให้สมองได้หวนรำลึกถึงความสุขได้มากเท่าการเขียนลงบนกระดาษนะจ๊ะ

5. ลุกไปเปลี่ยนช่องทีวี ลดอัตราเสี่ยงอ้วนลงพุง

          การศึกษาของชาวออสเตรเลียพบว่า ผู้ที่ขยับร่างกายเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งรีโมท จะมีขนาดรอบเอวที่น้อยกว่าผู้ที่ใช้รีโมทเปลี่ยนช่องทีวีถึง 16% เพราะการขยับลุกเดินอยู่เรื่อย ๆ จะช่วยให้ร่างกายได้ออกกำลังเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และระดับกลูโคสในเลือดให้ลดลง ช่วยลดอัตราเสี่ยงเป็นโรคอ้วนลงพุงได้อย่างสบาย นอกจากนี้ในระหว่างวัน ควรหมั่นหาโอกาสลุกเดินบ่อย ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ร่างกายได้ออกกำลัง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการเดินคุยโทรศัพท์ หรือลุกเดินออกจากโต๊ะไปพักสายตาก็ได้

6. จดโน้ตเพิ่มความจำ

          สถาบันวิจัยทางกายภาพแนะนำว่า เราควรจะจดโน้ตการประชุม หรือการสอนของอาจารย์ลงในสมุดแทนที่จะใช้วิธีการอัดเสียง หรือเพียงแค่นั่งฟังเฉย ๆ เพราะการจดสิ่งที่ได้ยินลงไปในกระดาษ จะช่วยให้สมองจดจำข้อมูลได้ดีขึ้น เนื่องจากเวลาที่ต้องเขียนอะไรลงไปในกระดาษ เราจะมีสมาธิและตั้งใจฟังข้อมูลที่จะจดได้ดีขึ้นนั่นเอง

7. ถามย้ำผลการตรวจรักษา ป้องกันตรวจพลาด

          อย่าชะล่าใจหากคุณไปตรวจสุขภาพกับคุณหมอแต่กลับไม่พบว่าเกิดความผิดปกติใด ๆ กับร่างกาย เพราะในความเป็นจริง การตรวจรักษามีโอกาสพลาดได้ถึง 1 ใน 14 และอาการของโรคบางอย่างก็ปรากฏช้า เมื่อพบว่าเป็นโรคอีกทีก็เมื่อสายไปแล้ว ดังนั้น หากคุณรู้สึกว่าร่างกายตัวเองไม่ค่อยปกติ และสงสัยว่าอาจจะเจ็บป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่าง ให้ถามผลการตรวจรักษาย้ำกับแพทย์โดยตรงอีกครั้ง และหากเป็นไปได้ควรจะกลับมาตรวจใหม่ด้วยก็จะดีมาก




8. บีบมือคนรักขจัดความเครียด

          การได้กอดใครแน่น ๆ หรือจับมือคนที่รักเราสามารถช่วยลดความเครียดที่มีอยู่ไปได้มากโข ยืนยันด้วยผลการศึกษาของ American Psychosomatic Society ที่ได้ทดลองให้คู่รักจำนวนหนึ่งระบายความเครียดด้วยการเล่าให้อาสาสมัครฟัง กลุ่มหนึ่งเล่าไปจับมือคนรักไป อีกกลุ่มเล่าโดยไม่ได้จับมือคนรัก และจากการศึกษาก็พบว่า กลุ่มที่ระบายความเครียดโดยไม่ได้สัมผัสกับคนรัก ยังคงมีระดับความดันเลือดสูงอยู่ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่จับมือคนรักไปด้วย 

          นั่นก็หมายความว่า การได้สัมผัสกับคนรัก สามารถช่วยลดระดับความดันเลือด และลดความเครียดได้ เพราะการได้แชร์ความรู้สึกกับคนที่เราไว้ใจ จะช่วยให้เรารู้สึกไม่โดดเดี่ยว และรู้สึกว่ามีหลักพึ่งพิงที่ดี จึงทำให้ลดความกังวลลงไปได้มาก

9. ฝึกโยคะรักษาอาการปวดหลังเรื้อรัง

          West Virginia University เขาได้ทำการศึกษากับผู้ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง ให้ฝึกเล่นโยคะเป็นเวลา 90 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้งติดต่อกันนาน 6 เดือน เปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง ซึ่งได้ทำการรักษาบำบัดด้วยวิธีอื่นอยู่แล้ว และพบว่า กลุ่มคนผู้ป่วยที่เล่นโยคะ มีอาการปวดหลังน้อยลงกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่บำบัดด้วยวิธีอื่นโดยเฉลี่ยถึง 60% และจะค่อย ๆ บรรเทาอาการปวดหลังลงไปอีกมาก เมื่อฝึกเล่นโยคะต่อไปเรื่อย ๆ อีก 6 เดือนต่อมา ดังนั้นใครที่มีปัญหาสุขภาพหลัง จะลองเล่นโยคะดูบ้างก็ดีไม่น้อยเลยนะคะ


10. กินปลาย่างมื้อเย็นเลี่ยงความจำเสื่อม

          ใคร ๆ ก็รู้ว่าเนื้อปลามีประโยชน์ต่อร่างกายและสมองของเราเป็นอย่างมาก เพราะมีสารอาหารที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ เช่น โอเมก้า 3 โปรตีน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อสุขภาพของเราหลากหลายชนิด ที่จะช่วยบำรุงเส้นเลือดในสมอง และลดอาการอักเสบของหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม 

          อีกทั้งผลการวิจัยของสถาบันสุขภาพยังเผยด้วยว่า คนที่รับประทานปลาย่างเป็นประจำ หรือรับประทานมากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมเพียงแค่ 1 ใน 5 เท่านั้น ซึ่งถือเป็นอัตราเสี่ยงที่น้อยมากเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่นิยมรับประทานปลา ดังนั้นคงจะดีไม่น้อยหากเราจะเพิ่มเมนูปลาย่างเข้าไปในมื่อเย็นด้วย จะเลือกกินปลาแซลมอน ปลาทูน่า หรือปลาแมคเคอแรลก็ได้ค่ะ


11. ดื่มนมในตอนเช้า ช่วยลดน้ำหนัก

          ผลการศึกษาของ American Journal of Clinical Nutrition พบว่า ผู้หญิงที่ดื่มนม 1 แก้ว ร่วมกับอาหารอื่น ๆ ในมื้อเช้า จะช่วยลดพลังงานแคลอรี่ในมื้อกลางวันได้โดยเฉลี่ย 50 กิโลแคลอรี่เลยทีเดียว ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า นมจะช่วยให้เรารู้สึกอิ่ม และช่วยลดอาการอยากอาหารอื่น ๆ ทำให้เรารับประทานอาหารในมื้อถัดไปได้น้อยลง ส่งผลให้น้ำหนักลดลงประมาณ 2 กิโลกรัมด้วยล่ะจ้า

12. ดื่มแอลกอฮอล์บำรุงเลือดและหัวใจ

          ข้อนี้น่าจะถูกใจนักดื่มตัวยง เพราะผลการวิจัยจากประเทศฮอลแลนด์ออกมายืนยันแล้วว่า ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 1 แก้วต่อวัน โดยเฉพาะการดื่มไวน์แดง จะทำให้ร่างกายผลิตสาร tPA (tissue plasminogen activator) ซึ่งเป็นสารสลายลิ่มเลือดอุดตัน และช่วยให้ร่างกายผลิตแคลอรี่ชนิดดี ส่งผลดีต่อหัวใจ และลดความดันโลหิตได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดื่มในปริมาณที่จำกัด คือไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน หากมากกว่านั้นก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างที่เรารู้กันดีอยู่นะจ๊ะ

          ไม่น่าเชื่อว่าพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราอาจจะทำกันจนชิน หรือไม่เคยเห็นถึงความสำคัญของมันเลย จะสามารถช่วยให้เรามีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดีขึ้นได้มากขนาดนี้ ฉะนั้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองปฏิบัติตามคำแนะนำที่เรานำมาฝากกันดูก็ได้ จะได้รู้ว่าจะมีสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดีขึ้นอย่างที่บอกกันไว้หรือเปล่า

ที่มา : http://health.kapook.com/view65842.html


5 อาหารบำรุงสมอง เพิ่มประสิทธิภาพเสริมความจำ

5 อาหารบำรุงสมอง เพิ่มประสิทธิภาพเสริมความจำ



                สมอง เป็นส่วนที่เราใช้งานมันอย่างหนักอยู่แทบทุกวัน  ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรียน ถ้าวันหนึ่งสมองของเราเกิดผิดปกติขึ้นมา คงส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเรามากแน่นอน แล้วทำไมเราไม่หันมาดูแล บำรุง สมองของเราให้ดีอยู่ตลอดล่ะ



1. ไข่
             ในทุกบ้านย่อมมีไข่ติดไว้เสมอ เนื่องจากหาซื้อได้ง่าย และสามารถทำอาหารได้หลากหลายเมนู หากไม่รู้จะกินอะไร ไข่ มักจะเป็นสิ่งแรกที่นึกถึงเสมอ คิดอย่างนี้ได้ก็ดีแล้วล่ะ เพราะในไข่มีสารตัวหนึ่งชื่อว่า “โคลิน” ซึ่งช่วยในการพัฒนาระบบการทำงานของสมอง ดังนั้นอย่าลืมกินไข่กันด้วยล่ะ วันละ 2 ฟองกำลังดีเลย แต่ใครที่มีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอล อาจจะต้องลดไข่แดงหน่อยนะ
2. ปลา
                “กินปลาเยอะๆ จะได้ฉลาด” คำนี้ที่เราได้ยินกันมาตั้งแต่เด็ก บอกเลยว่า มันคือเรื่องจริง เราควรกินปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพราะในปลาทะเลน้ำลึกมีกรดไขมันและโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยบำรุงเซลล์สมองและเสริมสร้างผนังเซลล์ประสาทในสมองของเราให้แข็งแรง ปลามีหลากหลายชนิด อย่ากินแค่ชนิดเดียวล่ะ จะได้ป้องกันสารพิษที่อาจอยู่ในเนื้อปลาได้


3. ถั่ว
               ถั่ว อาหารว่างสุดโปรดของใครหลายคน เช่น อัลมอนด์ ฮาเซลนัท หรือจะเป็นถั่วลิสงที่เราคุ้นเคยกันดี ใครที่ไม่ชอบกิน ลองหันมากินดูนะ เพราะในถั่วมีไขมันดี โปรตีนเยอะ ไฟเบอร์สูง  แถมยังมีวิตามินอีซึ่งช่วยในเรื่องกระบวนการคิด ความจำ และวิตามินบี1 ที่ช่วยบำรุงสมอง ทำให้สมองของเราแข็งแรง รู้อย่างนี้ ไม่ลองไม่ได้แล้ว

4. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
                    การทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ไม่ว่าจะเป็น สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ นอกจากจะทำให้เราสดชื่นแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพสมองของเราให้มีระดับไอคิว และกระบวนการคิดดีขึ้น พร้อมทั้งช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี และปรับความดันเลือดให้สมดุล เอามาทานเป็นอาหารว่างระหว่างวันก็ไม่เลวนะ 


5. ช็อคโกแลต
                    แค่พูดชื่อก็อยากกินซะแล้วสิ  ใครจะรู้ว่าในช็อคโกแลตที่เรากินกันอยู่บ่อยๆ นอกจากเรื่องความอร่อยแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดดีขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองให้ทำงานดีขึ้นด้วย  รู้แล้วอยากออกไปซื้อเลย แต่ก็อย่ากินมากเกินไปล่ะ กินแค่พอดี เพราะมีแคลอรี่สูงเหมือนกันนะ เดี๋ยวจะอ้วนเอา ถ้าเอาให้ดีเลือกดาร์คช็อคโกแลตที่มีปริมาณน้ำตาลต่ำก็จะดียิ่งขึ้น

                  อาหารเหล่านี้หาได้ไม่ยากเลย สมองของเราถ้าเราไม่ดูแลก็ไม่มีใครช่วยได้ สำหรับคนที่ชอบคิดมาก สมองก็ยิ่งทำงานหนักขึ้นไปอีก ดังนั้นเพื่อสมองที่ดีและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หันมาทานอาหารบำรุงสมองและมองโลกในแง่ดีกันเถอะ
  
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก กรมประชาสัมพันธ์Thaibodycareภาพประกอบจาก istockphoto
Story : Martmatt
ที่มา :http://health.sanook.com/4097/


กฎหมายที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน

กฎหมายที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน



กฎหมายที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน  แบ่งออกเป็น

  • กฎหมายแพ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องบุคคล ทรัพย์สิน นิติกรรม สัญญา ละเมิด ครอบครัว และมรดก ที่มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย
  • กฎหมายอาญา เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความผิดและโทษ โดยกำหนดผู้กระทำผิดจะได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด กฎหมายอาญาจึงมีความสำคัญช่วยให้ประชาชนอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย
  • กฎหมายเกี่ยวกับบุคคล บุคคล หมายถึง สิ่งที่กฎหมายกำหนดให้มีสิทธิหน้าที่ได้ตามกฎหมาย สภาพบุคคลเริ่มต้นตั้งแต่แรกคลอดเป็น ทารกและสิ้นสุดสภาพบุคคลเมื่อตายหรือสาบสูญตามคำสั่งของศาล การสาบสูญคือ การหายจากภูมิลำเนาในภาวะ ปกติเกิน 7 ปี หรือหายจากภาวะที่เป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น เรืออับปาง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ 3 ปี ถือว่าเป็นคนสาบสูญ ได้ ในกรณีที่ผู้สาบสูญกลับมา สามารถขอร้องต่อศาลให้ถอนคำสั่งสาบสูญได้ บุคคลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. บุคคลธรรมดา
 หมายถึง บุคคลที่มีความสามารถ สามารถทำนิติกรรมได้ตามที่กฎหมายกำหนด
 ส่วนประกอบของสภาพบุคคล
 1. ชื่อตัว - ชื่อสกุล
2. สัญชาติ ได้มาโดยการเกิด การสมรส การแปลงชาติ
3. ภูมิลำเนา คือถิ่นที่อยู่ประจำและแน่นอนของบุคคล
4. สถานะ คือ ฐานะของบุคคลตามกฎหมายซึ่งทำให้เกิดสิทธิ เช่น โสด สมรส หย่า

2. นิติบุคคล
 หมายถึง หมู่คนหรือสิ่งที่กฎหมายรับรองสภาพอย่างบุคคลธรรมดา และมีสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบในนามของกิจการ เช่น กระทรวง ทบวง กรม บริษัท สมาคม มูลนิธิ และวัด เป็นต้น ทรัพย์และทรัพย์สิน

ทรัพย์ หมายถึง วัตถุ หรือสิ่งที่มีรูปร่าง

ทรัพย์สิน หมายถึง ทรัพย์และวัตถุที่ไม่มีรูปร่าง เช่น ลิขสิทธิ์ (ทรัพย์สินทางปัญญา)
ประเภทของทรัพย์สิน
 1. อสังหาริมทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์สินที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้
2. สังหาริมทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้

นิติกรรม

นิติกรรม คือการแสดงเจตนาผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคลโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับสิทธิ์

หลักการทำนิติกรรม

1. มีการแสดงเจตนาของบุคคล โดยการพูด เขียน หรือการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
2. การกระทำนั้นต้องทำด้วยความสมัครใจ
3. มีเจตนาที่จะให้เกิดผลตามกฎหมาย

นิติกรรมที่เป็นโมฆะและโมฆียะ

นิติกรรมที่เป็นโมฆะ คือ นิติกรรมที่ไม่ได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ตั้งแต่แรก ซึ่งไม่เกิดผลทางกฎหมาย
นิติกรรมที่เป็นโมฆียะ คือ นิติกรรมที่มีผลสมบูรณ์จนกว่าจะถูกบอกล้าง เช่น นิติกรรมที่ผู้เยาว์กระทำโดยไม่ได้ รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม เมื่อมีการบอกล้างแล้ว โมฆียะกรรมจะกลายเป็นโมฆะ

สัญญาต่าง ๆ และประเภทของสัญญา

สัญญาซื้อขายธรรมดา แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

1. คำมั่นว่าจะซื้อหรือจะขาย คือ มีการให้คำมั่นเสนอว่าจะซื้อหรือจะขาย
2. สัญญาจะซื้อจะขาย คือ สัญญาตกลงกันในสาระสำคัญของสัญญาจะซื้อจะขาย
3. สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด คือ เป็นสัญญาที่ตกลงกันตามสาระสำคัญของสัญญากันเรียบร้อยแล้ว

สัญญาซื้อขายเฉพาะอย่าง แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

สัญญาซื้อขายเงินสด คือ สัญญาที่ผู้ซื้อตกลงชำระราคาสินค้าเป็นเงินสดทันที เมื่อมีการซื้อขายกัน
สัญญาซื้อขายผ่อนส่ง คือ สัญญาการซื้อขายที่มีการส่งมอบทรัพย์สินให้กับผู้ซื้อแล้ว แต่ผู้ซื้อยังไม่ได้ชำระราคา อาจตกลงผ่อนชำระเป็นงวด ๆ
สัญญาขายฝาก คือ สัญญาซื้อขายที่ผู้ขายฝากต้องการเงินจำนวนหนึ่งจากผู้ซื้อ จึงนำทรัพย์สินมาโอนให้กับผู้ซื้อ ฝาก และผู้ขายฝากมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินกับคืนได้ภายในเวลาที่ตกลงกันไว้ หากครบกำหนดไถ่คืนแล้วผู้ขายฝากไม่มาไถ่คืนทรัพย์สินนั้นจะตกเป็นของผู้ซื้อฝากโดยเด็ดขาด
การขายทอดตลาด คือ การซื้อขายที่ประกาศให้ประชาชนมาประมูลซื้อสู้ราคากันโดยเปิดเผย การขายทอดตลาด
ประกอบด้วยบุคคล 4 ฝ่าย คือ
 ผู้ขายซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือผู้มีอำนาจขายทรัพย์สินได้
ผู้ทอดตลาด
ผู้สู้ราคา
ผู้ซื้อ

สัญญาเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ แบ่งออกเป็น

สัญญาเช่าทรัพย์ ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ไม่ต้องมีหลักฐานเป็นตัวหนังสือ แต่ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ต้องมีหลัก ฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ
สัญญาเช่าซื้อ คือสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์นั้นให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินหรือจะให้ทรัพย์นั้นตก เป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อ โดยมีเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว
การทำสัญญาเช่าซื้อต้องทำหนังสือลงลายมือชื่อในสัญญาทั้งสองฝ่าย สัญญากู้ยืมเงิน เป็นสัญญาที่ผู้กู้และผู้ให้กู้ได้ตกลงกันในการยืมเงินและจะคืนเงินให้ตามเวลาที่กำหนดไว้โดยมีการ เสียดอกเบี้ย การกู้ยืมเงินตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป ต้องมีหลักฐานลงลายมือชื่อผู้กู้ไว้เป็นสำคัญ

กฎหมายเกี่ยวกับครอบครัว



การหมั้น คือ การทำสัญญาระหว่างชายหญิงว่าจะสมรสกัน จะทำได้เมื่อชายและหญิงอายุ 17 ปีบริบูรณ์ ถ้าชาย และหญิงเป็นผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้ปกครอง การสมรส การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์หากมีอายุต่ำกว่านี้ต้องศาลอนุญาต
 ทรัพย์สินของสามีและภรรยา แบ่งเป็น
 1. สินส่วนตัว คือ ทรัพย์สินที่สามีหรือภรรยามีก่อนสมรส
2. สินสมรส คือ ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างการสมรส

การสิ้นสุดการสมรส
 1. ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะ
2. คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่กรรม
3. การหย่า

สิทธิและหน้าที่ของบิดาและมารดา บิดามารดามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตร
สิทธิและหน้าที่ของบุตร บุตรมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาของตนเป็นการตอบแทน
กฎหมายเรื่องมรดก

มรดก คือ ทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบต่าง ๆ ของผู้ตายหรือเจ้าของมรดกซึ่งเมื่อเจ้าของมรดก ถึงแก่ความตายมรดกย่อมตกทอดแก่ทายาททันทีที่ตาย

ทายาท คือ ผู้มีสิทธิได้รับมรดก 2 ประเภท

1. ทายาทโดยธรรม คู่สมรสและญาติสนิท
2. ทายาทตามพินัยกรรม ผู้มีสิทธิ์ได้รับมรดกตามพินัยกรรมระบุไว้

พินัยกรรม คือ เอกสารที่เจ้าของมรดกแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์

กฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน

1. กฎหมายรัฐธรรมนูญ
 เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ เป็นการกำหนดสิทธิ เสรีภาพ หน้าที่ของบุคคล
 สิทธิ หมายถึง ประโยชน์ซึ่งกฎหมายรับรอง คุ้มครองให้กับบุคคล เช่น สิทธิทางการเมือง สิทธิในทรัพย์สิน
เสรีภาพ หมายถึง การกระทำของบุคคลที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย เช่น เสรีภาพในร่างกาย เสรีภาพในการพูด การพิมพ์ การเขียน การนับถือศาสนา หน้าที่ คือ สิ่งที่บุคคลจะต้องกระทำหรืองดเว้นกระทำ ในฐานะสมาชิกของรัฐ เช่น การเสียภาษีอากร การป้องกันประเทศ

2. กฎหมายเลือกตั้ง

เป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อควบคุมการจัดและดำเนินการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยเรียบร้อยและยุติธรรม



3. กฎหมายเกี่ยวกับทะเบียนราษฎร์

เมื่อมีคนเกิดต้องแจ้งต่อนายทะเบียนภายใน 15 วัน
เมื่อมีคนตายต้องแจ้งต่อนายทะเบียนภายใน 24 ชม.
เมื่อย้ายที่อยู่อาศัยต้องแจ้งภายใน 15 วัน

4. กฎหมายเกี่ยวกับบัตรประชาชน

บุคคลที่มีสัญชาติไทยอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไปแต่ไม่เกิน 70 ปีต้องขอมีบัตรประชาชน
การเปลี่ยนชื่อตัว - ชื่อสกุล ต้องขอทำบัตรใหม่ภายใน 60 วัน
บัตรสูญหายต้องขอเปลี่ยนใหม่ ภายใน 60 วัน
บุคคลที่ไม่ต้องมีบัตรประชาชน ได้แก่ พระภิกษุ นักโทษ และบุคคลที่มีอายุเกิน 70ปี ขึ้นไป



5. กฎหมายเกี่ยวกับการรับราชการทหาร

ชายไทยที่มีสัญชาติไทย อายุย่างเข้า 18 ปีบริบูรณ์ ให้ไปแสดงตัวเพื่อลงบัญชีพลทหารกองเกินภายในเขตภูมิลำเนาของตน
เมื่ออายุย่างเข้า 21 ปี ต้องไปแสดงตนเพื่อรับหมายเรียกและต้องทำการตรวจเลือกเพื่อเข้าเป็นทหารกอง ประจำการตามกำหนดนัด บุคคลที่ไม่ต้องเป็นทหารประจำการ ได้แก่ พระภิกษุที่มีสมณศักดิ์ คนพิการทุพพลภาพ บุคคลที่ขาดความสามารถบางประการที่ไม่อาจเป็นทหารได้



6. กฎหมายเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดของชุมชน และสิ่งแวดล้อม

พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เช่น การสร้าง ดัดแปลง ต่อเติม รื้อถอน ต้องขออนุญาตต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2518

พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2522


ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-3/human_society/20.html